32 จำนวนผู้เข้าชม |
การดูแลรถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจ แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ได้อย่างยาวนาน ซึ่งหนึ่งในงานบำรุงรักษาที่สำคัญที่สุด ก็คือ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถยนต์ เพราะน้ำมันเครื่องรถยนต์ มีหน้าที่หล่อลื่น ลดการเสียดสี และช่วยระบายความร้อนของเครื่องยนต์ หากไม่เปลี่ยนตามระยะ อาจทำให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็ว รถกินน้ำมันมากขึ้นนั่นเอง
สำหรับรถที่ใช้น้ำมันเครื่องแบบกึ่งสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถยนต์ทุก ๆ 7,000 – 10,000 กิโลเมตร เพราะหากปล่อยไว้หรือใช้เกินระยะ น้ำมันจะเริ่มเสื่อม ทำให้ความหนืดของน้ำมันลดลง จนอาจเกิดตะกอนหรือคราบเขม่ามากขึ้น ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนักมากขึ้นนั่นเอง
รถที่ใช้น้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์แท้ ควรทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถยนต์ทุก ๆ 10,000 – 15,000 กิโลเมตร เพื่อลดการเกิดคราบเขม่า ช่วยให้เครื่องยนต์สะอาด ทำงานลื่น และใช้งานได้ทนทานมากขึ้น
หากคุณเป็นคนขับรถในเมืองติดหนัก ๆ หรือรถอายุเกิน 7–10 ปี อาจต้องทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์ไวขึ้นกว่าปกติ เพราะเครื่องยนต์ที่เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา จะทำหนักขึ้นนั่นเอง
แม้จะไม่ค่อยขับรถ หรือจอดทิ้งไว้บ่อย ๆ แต่ก็ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถยนต์ตามระยะเวลาด้วยเช่นกัน เพราะน้ำมันเครื่อง จะมีอายุประมาณ 6 – 12 เดือนเท่านั้น หากปล่อยทิ้งไว้ น้ำมันเครื่องอาจเกิดการแยกตัวกับสารหล่อลื่น ทำให้ความหนืดและคุณภาพการใช้ลดลง หนักสุดคืออาจทำให้เครื่องยนต์มีสนิมขึ้นได้เลยทีเดียว
การสังเกตสีของน้ำมันเครื่อง จะช่วยให้เราประเมินเบื้องต้นได้ว่าควรทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์หรือยัง
แต่สีน้ำมันเครื่องอย่างเดียว อาจไม่สามารถกำหนดได้ขนาดนั้น ว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถยนต์แล้วจริง ๆ เพราะรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล น้ำมันจะดำเร็วอยู่แล้ว (เพราะการทำงานของระบบเผาไหม้) นอกจากนี้ น้ำมันบางยี่ห้อยังมีสารทำความสะอาด ทำให้น้ำมันดำเร็วแต่ยังใช้งานได้อยู่ จึงควรดูร่วมกับระยะทางและระยะเวลา จะให้ผลแม่นยำที่สุด
แม้ว่าการขับในเมืองจะมีระยะทางสั้นกว่าการขับออกต่างจังหวัด แต่เครื่องยนต์จะทำงานหนักกว่าการขับทางไกล เพราะต้องสตาร์ทและหยุดบ่อย ๆ ทำให้ความร้อนสะสม ซึ่งการเดินเบานาน ๆ จะทำให้เขม่าจากการเผาไหม้สะสมมากกว่าปกติ จนส่งผลให้น้ำมันเครื่องเสื่อมเร็วขึ้น ความหนืดลดลง และเกิดตะกอนได้ง่ายนั่นเอง
อุณหภูมิส่งผลกับน้ำมันเครื่อง เพราะน้ำมันทุกชนิดจะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นเมื่อเจอความร้อน เพราะความร้อน นอกจากจะทำให้โมเลกุลของน้ำมันแตกตัวเร็วขึ้นแล้ว ยังทำให้ความหนืดลดลง จนส่งผลให้ฟิล์มน้ำมันบางลงอีก จึงควรทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์เพื่อรักษาสภาพเครื่องยนต์นั่นเอง
การบรรทุกของหนักหรือขึ้นเขาบ่อย ๆ จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักมากกว่าปกติ เพราะเครื่องยนต์ต้องใช้กำลังและแรงบิดสูง ทำให้น้ำมันเครื่องต้องหล่อลื่นชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวหนักขึ้น จนส่งผลให้เกิดความร้อนสะสม ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ได้นั่นเอง จึงควรนำรถเข้าศูนย์บริการรถยนต์ เพื่อเช็กสภาพและเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ
หากปล่อยให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพเกินกำหนด ไม่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถยนต์ตามระยะทางหรือระยะเวลา อาจเกิดผลเสียดังนี้
เลือกน้ำมันให้เหมาะกับเครื่องยนต์ โดยอ้างอิงจากคู่มือรถ (Manual) ซึ่งรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะใช้น้ำมันเหลว (0W / 5W) ส่วนรถที่ใช้งานหนักอาจเลือกน้ำมันเครื่องที่มีความหนืดมากขึ้น
เมื่อทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถยนต์แล้ว อย่าลืมเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องด้วยทุกครั้ง เพราะถ้าไม่เปลี่ยนพร้อมกันอาจทำให้น้ำมันใหม่สกปรกเร็วนั่นเอง
จริง ๆ แล้ว วิธีเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถยนต์ไม่ใช่งานยากมาก แต่ถ้าไม่ได้ทำบ่อยหรือเป็นงานที่ไม่ถนัดแนะนำให้เข้าอู่หรือศูนย์เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์ให้จะดีกว่า ส่วนมากช่างจะคิดราคาค่าแรงไม่แพงมาก (เมื่อหักลบจากค่าน้ำมันเครื่องแล้ว)
สรุปว่า ผู้ใช้รถทุกคนควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถยนต์ตามกำหนด เพื่อรักษาคุณภาพของเครื่องยนต์ และรักษาประสิทธิภาพในการขับขี่ ให้มีความปลอดภัยมากขึ้น หากเป็นคนขี้ลืมหรือไม่ค่อยจำว่าต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อไหร่ แนะนำให้นำรถไปเช็คระยะรถยนต์ที่ศูนย์บริการทีเดียวเลย นอกจากจะได้รู้ว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหนแล้ว ยังรู้ด้วยว่าจุดอื่น ๆ มีส่วนที่ต้องซ่อมแซมหรือดูแลรักษาเพิ่มเติมหรือไม่