ทำไมต้องเช็คระยะรถยนต์ที่ศูนย์บริการ ถ้าไม่เช็คจะมีปัญหาไหม?

การเช็คระยะรถ คือ การตรวจเช็คระยะรถยนต์ตามระยะที่ผู้ผลิตกำหนด โดยส่วนมากจะมีการเช็คทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร หรือราว ๆ 6 เดือน (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีชิ้นส่วนใดต้องบำรุงรักษา หรือเปลี่ยนใหม่บ้าง 

ทําไมต้องเช็คระยะรถยนต์

การตรวจเช็คระยะรถยนต์ จะทำให้ทราบได้ว่ามีระบบไหนเสื่อมสภาพลงไปบ้าง ต้องเปลี่ยนอะไหล่ หรือบำรุงรักษาอุปกรณ์ใดเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อยืดอายุการใช้งานของชิ้นส่วนและอะไหล่ต่าง ๆ สร้างความปลอดภัยในการขับขี่ ลดอุบัติเหตุระหว่างการใช้งาน ทั้งยังเซฟเงินในกระเป๋า ไม่ให้งบบานปลาย เมื่อต้องจ่ายค่าซ่อมบำรุงได้อีกด้วย

เช็คระยะรถยนต์ รายการไหนบ้าง

1. ระบบแสงสว่างและอุปกรณ์หน้ารถ

การเช็คระบบแสงสว่างของรถยนต์เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ เพราะจะช่วยสร้างความปลอดภัยในการขับขี่ โดยเฉพาะเวลากลางคืน, ตอนขับขี่ผ่านพื้นที่ที่ไม่มีไฟถนน หรือตอนขับรถท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรปรวน เช่น ฝนตกหนัก มีหมอกลง เป็นต้น 

• เช็คไฟหน้า
• เช็คไฟหรี่หน้า
• เช็คไฟต่ำหน้า
• เช็คไฟสูงหน้า
• เช็คไฟเลี้ยวขวาหน้า
• เช็คไฟเลี้ยวซ้ายหน้า
• เช็คไฟฉุกเฉินหน้า
• เช็คไฟท้าย
• เช็คไฟหรี่ท้าย
• เช็คไฟส่องทะเบียน
• เช็คไฟเบรก
• เช็คไฟเลี้ยวขวาท้าย
• เช็คไฟเลี้ยวซ้ายท้าย
• เช็คไฟฉุกเฉินท้าย
• เช็คการทำงานของใบปัดที่กระจกหน้า
• เช็คการทำงานแตร

2. ระบบของเหลว

ระบบของเหลวเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องตรวจสอบเมื่อเช็คระยะรถยนต์ เนื่องจากส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง หากของเหลวเสื่อมสภาพ หรือน้อยกว่าระดับที่กำหนด จะทำให้รถยนต์เสียหายบานปลายได้

• เช็คน้ำมันเกียร์ออโต้
• เช็คสารปนเปื้อนในน้ำมันเกียร์ออโต้
• เช็คน้ำมันเบรก
• เช็คสารปดเปื้อนในน้ำมันเบรก
• เช็คน้ำมันพาวเวอร์
• เช็คสารปนเปื้อนในน้ำมันพาวเวอร์
• เช็คปริมาณน้ำยาล้างกระจก
• เช็คปริมาณน้ำหล่อเย็น
• เช็คสารปนเปื้อนน้ำหล่อเย็น
• เช็คน้ำในเครื่อง
• เช็คสารปนเปื้อนในน้ำมันเครื่อง
• เช็คน้ำฉีดล้างที่กระจกหลัง
• เช็คการทำงานของใบปัดที่กระจกหลัง
• เช็คน้ำฉีดล้างกระจกหน้า

3. ระบบแบตเตอรี่

ระบบแบตเตอรี่รถยนต์ เป็นหัวใจสำคัญของไฟฟ้าภายในรถยนต์ หากระบบแบตเตอรี่มีปัญหา จะส่งผลให้ระบบไฟฟ้าในรถไม่สามารถใช้งานได้ ทั้งยังทำให้รถสตาร์ทไม่ติดอีกด้วย ในโปรแกรมตรวจเช็คระยะรถยนต์จึงมีการเช็กสภาพแบตเตอรี่ด้วยนั่นเอง

• เช็คไฟแบตเตอรี่
• เช็คสภาพขั้วแบตเตอรี่
• เช็คน้ำกลั่นแบตเตอรี่

4. ระบบเบรก

อีกโปรแกรมหนึ่งที่มีในการตรวจเช็คระยะรถยนต์ ก็คือระบบเบรค ซึ่งเป็นระบบที่ส่งผลกับความปลอดภัยโดยตรง หากระบบเบรกมีปัญหา อาจทำให้รถเสียการควบคุม หยุดรถไม่ทัน เกิดอุบัติเหตุได้ทันที

• เช็คสายพาน
• เช็คจานเบรก
• เช็คผ้าเบรก

5. ระบบกรองอากาศ

ระบบกรองอากาศรถยนต์ มีหน้าที่ป้องกันฝุ่นและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ไม่ให้เข้าสู่ห้องเผาไหม้ หากกรองอากาศอุดตัน จะส่งผลเสียต่อการทำงานของเครื่องยนต์ อัตราเร่ง รวมถึงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จึงควรตรวจเช็คด้วยเช่นกัน

• เช็คกรองอากาศ

6. ยางรถยนต์

ยางรถยนต์ เป็นจุดเดียวที่สัมผัสระหว่างรถกับพื้นถนน ซึ่งจะช่วยให้รถยึดเกาะถนน เบรกได้มั่นใจ และขับขี่ปลอดภัยในทุกสภาพอากาศ ในทางกลับกัน หากยางเสื่อมสภาพ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ จึงอยู่ในโปรแกรมเช็คระยะรถยนต์ที่ควรตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง

•  เช็คความลึกดอกยาง
•  เช็คลมยาง

ไม่เช็คระยะรถยนต์ มีปัญหาไหม

• เครื่องยนต์เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ เสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง หรืออาจถึงขั้นเปลี่ยนเครื่องใหม่ มีค่าใช้จ่ายบานปลาย 
• ระบบเบรกและระบบช่วงล่างเสื่อมเร็ว เช่นผ้าเบรกหมด โช้คอัพรั่ว ส่งผลต่อความปลอดภัยโดยตรง
• รถกินน้ำมันมากขึ้น เนื่องจากกรองอากาศตัน หัวฉีดสกปรก หรือน้ำมันเครื่องเสื่อม ทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก
• รถดับหรือเสียกลางทาง หรือสตาร์ตไม่ติด เนื่องจากแบตเตอรี่เสื่อม ไดชาร์จมีปัญหา หรือสายพานขาด

ตรวจเช็ครถยนต์ที่ไหนดี?

เพื่อความมั่นใจว่ารถยนต์ของคุณจะได้รับการดูแลอย่างครบถ้วนทุกจุดสำคัญ แนะนำให้ตรวจเช็คกับศูนย์บริการรถยนต์ที่ได้มาตรฐานและมีทีมช่างมืออาชีพ เช่น Pit&Go ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลรถของคุณอย่างใส่ใจ ตั้งแต่การเช็คระยะ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ระบบเบรก ระบบช่วงล่าง ไปจนถึงงานซ่อมบำรุงทั่วไป

ที่ Pit&Go คุณจะได้รับบริการที่รวดเร็ว โปร่งใส พร้อมอะไหล่แท้และมาตรฐานการซ่อมตามคู่มือผู้ผลิต เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถของคุณพร้อมใช้งานได้อย่างปลอดภัยในทุกการเดินทาง

สำหรับการเช็คระยะรถยนต์ ควรตรวจเช็คกับศูนย์บริการรถยนต์ที่ได้มาตรฐาน มีบริการที่ดี และน่าเชื่อถือ อาทิ ศูนย์บริการรถยนต์ DENSO ที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานในระดับเดียวกันกับศูนย์บริการรถยนต์ชั้นนำ