84 จำนวนผู้เข้าชม |
หลายคนที่ใช้รถมานานคงเคยเจอกับปัญหาโช๊ครั่วกันมาบ้าง บางครั้งอาจเห็นคราบน้ำมันซึมที่ตัวโช๊ค บางครั้งรถเริ่มเด้งแปลก ๆ หรือรู้สึกว่าขับและนั่งไม่สบายเหมือนเดิม แม้ปัญหาเหล่านี้จะฟังดูเล็กน้อย แต่จริง ๆ แล้วอาการโช๊ครั่วคือสัญญาณเตือนของระบบช่วงล่างที่ไม่ควรมองข้าม เพราะโช๊คอัพมีหน้าที่ในการดูดซับแรงสั่นสะเทือน และช่วยให้รถเกาะถนนได้ดี หากโช๊คเสื่อมสภาพหรือรั่ว อาจส่งผลต่อความปลอดภัยระหว่างการขับขี่ได้
โช๊ครถยนต์ หรือ โช๊คอัพ คือ อุปกรณ์ในระบบช่วงล่างของรถยนต์ ทำหน้าที่ควบคุมการสั่นสะเทือนของล้อและตัวถังรถให้มีความนุ่มนวลและมั่นคงมากขึ้น โดยใช้หลักการทำงานของน้ำมันและแรงดันแก๊สในการดูดซับแรง
ส่วน โช๊ครั่ว คือ ภาวะที่น้ำมันภายในกระบอกโช๊คเกิดการรั่วซึมออกมาภายนอก ไม่ว่าจะเป็นจากซีลยางเสื่อมสภาพ ตัวกระบอกเป็นรอย หรือแรงดันภายในผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้โช๊คอัพไม่สามารถทำหน้าที่ได้เต็มประสิทธิภาพ
หากรถเกิดโช๊ครั่ว อาการที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยก็คือ มีคราบน้ำมันซึมที่กระบอกโช๊ค ซึ่งปกติแล้วโช๊คอัพจะมีน้ำมันอยู่ภายในเพื่อใช้ในการดูดซับแรงกระแทก หากสังเกตเห็นว่าบริเวณแกนโช๊คหรือกระบอกโช๊คมีคราบน้ำมันเปื้อน หรือมีลักษณะชื้น ๆ ทั้งที่ไม่ได้ล้างรถ อาจหมายความว่าน้ำมันภายในเริ่มรั่วออกมา หากปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ น้ำมันภายในจะค่อย ๆ หมดลง ทำให้โช๊คไม่สามารถซับแรงได้อีกต่อไป จนรถเด้งหรือกระแทกแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสร้างความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้นั่นเอง
อาการรถเด้งหรือสั่นมากกว่าปกติ มักเกิดขึ้นเมื่อโช๊คอัพสูญเสียแรงดัน หรือโช๊ครั่ว หรือไม่มีน้ำมันหล่อลื่นภายใน เมื่อรถวิ่งผ่านหลุมหรือพื้นขรุขระ จะรู้สึกว่ารถดีดหรือกระเด้งมากกว่าปกติ และเมื่อต้องขับด้วยความเร็วสูง จะสังเกตได้ว่า ตัวรถมีอาการโคลงไปมา ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าระบบช่วงล่างไม่สามารถซับแรงกระแทกได้ดีเหมือนเดิม นอกจากจะทำให้ขับขี่ไม่สบายแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียหลัก โดยเฉพาะเวลาขับรถเข้าโค้งอีกด้วย
เมื่อรถมีอาการโช๊ครั่ว จังหวะการยืด–หดของกระบอกโช๊คจะไม่สมดุล ทำให้เกิดเสียงกระแทกในช่วงล่าง โดยเฉพาะเวลาขับผ่านลูกระนาด หลุม หรือทางขรุขระ ซึ่งเสียงที่พบได้บ่อย ๆ ก็คือเสียงดังตึงตัง หรือกึกกัก ๆ หากปล่อยไว้นาน อาจทำให้ชิ้นส่วนช่วงล่างอื่น ๆ สึกหรอเร็วกว่าปกติตามไปด้วย
หากรถมีโช๊ครั่ว อาการต่อมาที่เห็นได้ชัดก็คือ รถทรงตัวไม่ค่อยดี เพราะโช๊คอัพที่รั่วจะทำให้แรงกดระหว่างล้อกับพื้นถนนไม่สม่ำเสมอกัน เมื่อแรงกดเปลี่ยนไป ยางก็จะสึกไม่เท่ากันไปด้วย ยิ่งถ้าโช๊ครั่วฝั่งใดฝั่งหนึ่ง จะเห็นได้ชัดว่าหน้ายางด้านนั้นสึกเร็วกว่าปกติ ซึ่งส่งผลกับการทรงตัวและการเบรกของรถยนต์โดยตรง
หากเวลาเบรกแล้วรู้สึกว่ารถหน้าทิ่ม หรือท้ายลอยมากผิดปกติ เป็นไปได้ว่ารถยนต์ของคุณมีอาการโช๊ครั่ว โดยเฉพาะโช๊คหน้า เพราะเมื่อน้ำมันในโช๊ครั่ว แรงต้านการยุบตัวของโช๊คจะลดลง ทำให้เวลาเบรก รถจะจมหน้าอย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้เสี่ยงต่อการเสียหลักหากเบรกแรงในช่วงถนนลื่น
โช๊คอัพมี ซีลยางกันน้ำมัน (Oil Seal) ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้น้ำมันภายในรั่วซึมออกมา หากซีลยางกันน้ำมันเสื่อมสภาพ ก็จะทำให้น้ำมันภายในจะเริ่มซึมออกมา และหากปล่อยทิ้งไว้นาน น้ำมันจะค่อย ๆ หมด จนทำให้โช๊คไม่สามารถดูดซับแรงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง จึงควรตรวจเช็กซีลยางและเปลี่ยนเมื่อพบคราบน้ำมันซึมรอบกระบอกโช๊ค เพื่อป้องกันการรั่วมากขึ้น
อีกหนึ่งสาเหตุโช๊ครั่ว ก็คือการที่กระบอกโช๊คเป็นรอยหรือบิดงอ จากการกระแทกแรง ๆ หรืออุบัติเหตุ ซึ่งรอยเหล่านี้จะทำลายผิวสัมผัสของซีลยาง ทำให้ซีลไม่สามารถปิดสนิทได้ และกลายเป็นช่องทางให้น้ำมันรั่วออกมานั่นเอง
ภายในโช๊คอัพจะมีระบบแรงดันน้ำมัน และแก๊สที่ทำงานร่วมกัน เพื่อซับแรงกระแทก หากแรงดันภายในไม่สมดุล เช่น วาล์วระบายแรงดันเสื่อมสภาพ หรือมีการประกอบภายในผิดพลาด จะทำให้แรงดันในกระบอกโช๊คสูงเกินไปจนดันซีลยางหลุดหรือฉีกขาด จนเป็นสาเหตุโช๊ครั่ว
เมื่อขับรถบนถนนฝุ่นเยอะ หรือขับในสภาพแวดล้อมที่มีเศษดิน ทราย หรือโคลนมาก สิ่งสกปรกเหล่านี้ อาจเกาะบนแกนโช๊คและเล็ดลอดเข้าไปในซีลยางได้ เมื่อฝุ่นเกิดการสะสมมากขึ้น ก็จะไปขูดขีดผิวแกนโช๊คและซีลยางจนได้รับความเสียหาย ทำให้โช๊ครั่วในที่สุด
สาเหตุโช๊ครั่วที่คนไม่ค่อยนึกถึงก็คือการใช้งานหนักเกินกำลัง ต้องบอกก่อนว่าโช๊คอัพแต่ละรุ่นถูกออกแบบให้รับน้ำหนักได้ในระดับที่เหมาะสม หากใช้งานเกินกำลัง เช่น บรรทุกของหนักเกินพิกัด ขับบนถนนขรุขระบ่อย ๆ หรือขับกระแทกหลุมแรง ๆ เป็นประจำ จะทำให้ซีลยางและวาล์วภายในรับแรงไม่ไหว ส่งผลให้เกิดการรั่วซึมหรือแตกภายในได้
เริ่มสังเกตโช๊ครั่วจากการ ตรวจดูด้วยสายตา ว่าบริเวณกระบอกโช๊คหรือแกนโช๊คมีคราบน้ำมันซึมหรือไม่
หากเพิ่งล้างรถมา ควรรอให้แห้งก่อนแล้วตรวจดูอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าคราบที่เห็นไม่ใช่น้ำจากการล้างรถ
การทดสอบการเด้งของรถ ถือเป็นวิธีง่ายที่สุดในการเช็กสภาพโช๊คอัพเบื้องต้น เพื่อดูว่าโช๊ครั่วหรือไม่ โดยสามารถเช็กตามขั้นตอนง่าย ๆ ได้ดังนี้นี้
เสียงผิดปกติเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของช่วงล่าง เหากโช๊ครั่วหรือเสื่อมสภาพ ก็มักจะเกิดเสียงดัง “ตึงตัง”, “กึกกัก”, หรือ “อืดอาด” โดยเฉพาะเวลาขับผ่านลูกระนาด หลุม หรือพื้นถนนขรุขระ ซึ่งเสียงพวกนี้อาจเกิดจาก
หากได้ยินเสียงผิดปกติแบบนี้บ่อย ๆ ควรรีบนำรถเข้าศูนย์บริการรถยนต์ให้ช่างตรวจสอบทันที เพื่อป้องกันการสึกหรอของช่วงล่างส่วนอื่น ๆ
อีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ ที่จะเช็กได้ว่าโช๊ครั่วหรือไม่ ก็คือ การตรวจดูการสึกของหน้ายาง หากหน้ายางสึกไม่เท่ากัน เช่น ด้านในสึกมากกว่าด้านนอก หรือเป็นคลื่น ๆ นั่นอาจหมายความว่า โช๊คไม่สามารถกดหน้ายางให้แนบพื้นได้อย่างสม่ำเสมอ เมื่อยางสึกไม่เท่ากัน จะทำให้รถทรงตัวยากและเปลืองน้ำมันมากขึ้น
โดยทั่วไป การซ่อมโช๊ครั่วนั้นไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไหร่นัก เพราะถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายไม่มาก แต่ก็ไม่ได้ประสิทธิภาพในการขับขี่เท่าการเปลี่ยนใหม่ ทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะรั่วอีกซ้ำ ๆ ส่วนมากจึงมักเปลี่ยนโช๊คใหม่ไปเลย แม้จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า แต่ก็ได้ทั้งประสิทธิภาพในการขับขี่ และความปลอดภัยที่มากกว่า โดยสามารถเปลี่ยนโช๊ครถยนต์ ได้ที่ศูนย์บริการรถยนต์หรืออู่ซ่อมรถที่ได้มาตรฐานทั่วไป
หากถามว่า โช๊ครั่วข้างเดียว ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งสองข้างเลยไหม? ตอบเลยว่า ควรเปลี่ยนทั้งสองข้างไปพร้อม ๆ กันเลย เพราะโช๊คอัพใหม่จะมีแรงต้านมากกว่าโช๊คเก่า หากเปลี่ยนข้างเดียวจะทำให้รถทรงตัวไม่สมดุล โดยเฉพาะในขณะเข้าโค้งหรือเบรกกะทันหัน อาจเกิดอันตรายได้
โดยปกติแล้ว โช๊คอัพจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 60,000–100,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่และสภาพถนนที่ใช้งาน หากขับขี่ในเมือง ถนนเรียบ ไม่ต้องบุกลุยใด ๆ โช๊คอัพก็จะมีอายุการใช้งานมากกว่ารถที่ขับขี่บนเส้นทางขรุขระ หรือรถที่บรรทุกของหนัก หรือขับด้วยความเร็วสูงเป็นประจำ
การตรวจเช็กโช๊คอัพทุก ๆ 20,000–30,000 กิโลเมตร จะช่วยให้ตรวจพบอาการผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้
โช๊ครั่ว อาจฟังดูเป็นเรื่องเล็ก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่ อาจส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ เช่น รถทรงตัวไม่ดี เบรกไม่อยู่ หรือยางสึกผิดปกติ จึงควรหมั่นตรวจเช็กสภาพโช๊คอัพเป็นประจำ เพื่อให้รถของคุณขับขี่ได้อย่างนุ่มนวล มั่นคง และปลอดภัยในทุกเส้นทาง