6 ของเหลวในรถยนต์อะไรบ้างที่ต้องเปลี่ยนถ่ายตามรอบ

31 จำนวนผู้เข้าชม  | 

6 ของเหลวในรถยนต์

สำหรับคนที่ขับขี่รถยนต์ หรือมีรถยนต์เป็นของตนเอง สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอยู่เสมอนั่นคือ การถ่ายของเหลวงรถยนต์ เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่าง ๆ ในรถยนต์เป็นปกติ ลดความเสี่ยงต่อการเสียหายและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ การเปลี่ยนถ่ายของเหลวรถยนต์ตามรอบที่กำหนดยังช่วยยืดอายุการใช้งานรถให้ยาวนานขึ้น ไม่ต้องเสียเงินซ่อมบ่อย ๆ เช่น ซ่อมปั้มหัวฉีดเครื่องยนต์ดีเซล จากคราบเขม่าในห้องเครื่องอุดตันเพราะไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามรอบ เป็นต้น

เช็กลิสต์ของเหลวในรถยนต์ที่ควรเปลี่ยนถ่าย

1. น้ำมันเครื่องยนต์

นี่คือของเหลวรถยนต์ที่ต้องให้ความสำคัญลำดับต้น ๆ เพื่อให้ระบบของเครื่องยนต์ทั้งหมดทำงานได้อย่างลื่นไหล มีประสิทธิภาพ ซึ่งรอบการเปลี่ยนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างทั้งประเภทน้ำมันเครื่องที่ใช้ ระยะทางขับขี่ หรือระยะเวลา ดังนี้

  • น้ำมันเครื่องธรรมดา เกรดต่ำสุด แทบไม่ค่อยมีคนใช้ในปัจจุบัน ระยะเปลี่ยนถ่ายเร็วสุดเฉลี่ย 5,000 กม.
  • น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ น้ำมันเครื่องที่มีส่วนผสมของสารสังเคราะห์ทำให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ระยะเปลี่ยนถ่ายราว 7,000-8,000 กม. (บางยี่ห้อได้ถึง 10,000 กม.)
  • น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ราคาแพงสุด มีการผสมสารเพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพสูง ระยะเปลี่ยนถ่ายมีได้ตั้งแต่ 10,000 – 15,000 กม.

แต่ถ้าคุณไม่ค่อยได้ขับขี่รถบ่อยนักระยะเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องมีได้ตั้งแต่ 6 เดือน – 1 ปี ตามประเภทน้ำมันเครื่องที่ใช้

2. น้ำมันเกียร์

หน้าที่ของน้ำมันเกียร์จะช่วยลดความร้อนระหว่างที่เกียร์กำลังทำงาน ลดการเสื่อมสภาพ การสึกหรอ ไม่ทำให้ระบบเกียร์พังเสียหายจนต้องเสียเงินก้อนใหญ่ ซึ่งการถ่ายของเหลวรถยนต์ชนิดนี้แบ่งออกได้ 2 แบบ คือ

  • เกียร์ธรรมดา ปกติแล้วมักเปลี่ยนถ่ายครั้งแรกตอน 60,000 กม. จากนั้นเปลี่ยนทุก 40,000 กม. ยกเว้นการใช้งานแบบสมบุกสมบัน บุกป่าฝ่าดง ก็ควรเปลี่ยนเร็วขึ้น
  • เกียร์ออโต้ หากดูตามคู่มือแล้วควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ออโต้เฉลี่ยทุก ๆ 40,000 กม. ยกเว้นใช้กับเส้นทางน้ำท่วม น้ำขัง แนะนำให้เปลี่ยนเร็วขึ้น

3. น้ำมันเบรก

ระบบเบรกคือหัวใจสำคัญในด้านความปลอดภัยของการขับขี่ ด้วยเหตุนี้น้ำมันเบรกจึงมีส่วนสำคัญในฐานะตัวกลางเพื่อส่งแรงดันจากแม่ปั๊มเบรกบนสู่ลูกสูบเบรก ขณะขับขี่เมื่อมีการเหยียบเบรก น้ำมันเบรกจะทำให้ระบบดรัมเบรกหรือดิสก์เบรกทำงาน รถจึงค่อย ๆ ชะลอความเร็วและหยุดอย่างปลอดภัย ปกติแล้วควรมีการเปลี่ยนถ่ายทุก 60,000 กม. แต่ถ้าสังเกตเห็นสีน้ำมันเบรกเปลี่ยนเป็นสีดำเข้ม หรือปริมาณลดลงผิดปกติ แนะนำให้เปลี่ยนได้เลย

4. น้ำมันพวงมาลัย

ใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ซึ่งเป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ ด้วยตัวพวงมาลัยเต็มไปด้วยชิ้นส่วนหลากชนิด เช่น เฟืองสะพาน เฟืองขับ ลูกสูบในเฟืองขับ ฯลฯ หากน้ำมันพวงมาลัยเสื่อมสภาพหรือปริมาณไม่พอจะส่งผลต่อการเลี้ยวยากขึ้น ไปจนถึงชุดเฟืองต่าง ๆ เสียหายหนัก ปกติแล้วควรเปลี่ยนถ่ายทุก 80,000 กม. ยกเว้นรถรุ่นใหม่มาก ๆ ที่เป็นระบบพวงมาลัยไฟฟ้าซึ่งช่วยลดความยุ่งยากตรงนี้ลงได้ดีทีเดียว

5. น้ำหล่อเย็น

ตัวช่วยสำคัญในการลดระดับความร้อนของเครื่องยนต์ขณะทำงานไม่ให้อุณหภูมิสูงมากขึ้นไป ซึ่งอาจส่งผลให้เครื่องโอเวอร์ฮีต ปกติแล้วมักเปลี่ยนถ่ายทุก 100,000 กม. และไม่ควรเกิน 150,000 กม. หรือทุก ๆ 2 ปี ขึ้นอยู่กับอย่างใดถึงก่อน 

6. น้ำมันเฟืองท้าย

ปกติแล้วน้ำมันเฟืองท้ายทำหน้าที่หล่อลื่นชิ้นส่วนด้านในของเฟืองท้ายเพื่อการส่งกำลังรถสู่ล้อหลังอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การถ่ายของเหลวรถยนต์ดังกล่าวขึ้นอยู่กับรุ่นและประเภทรถ แต่โดยเฉลี่ยคือระหว่าง 60,000 – 80,000 กม.

ผลกระทบหากไม่เปลี่ยนถ่ายของเหลวรถยนต์ตามระยะ

แน่นอนว่าข้อเสียที่ตามมาย่อมหมายถึงการทำงานที่ไม่ดีของรถยนต์ อาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุแบบไม่คาดฝัน หรือทำให้ชิ้นส่วนบางชนิดเสื่อมสภาพต้องเสียเงินก้อนใหญ่ในการซ่อม ดังนั้นการใส่ใจระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายอย่างเหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

6 ของเหลวรถยนต์ที่กล่าวไปเน้นย้ำว่าต้องเปลี่ยนถ่ายตามรอบหรือตามระยะอย่างเหมาะสม ป้องกันความเสียหายของชิ้นส่วน อะไหล่ต่าง ๆ ช่วยยืดอายุรถให้ขับขี่ได้นานขึ้น และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพรถของคุณได้อีกด้วย หากกำลังเจอกับปัญหารถยนต์มาที่ Pit&Go ศูนย์บริการรถยนต์ ซ่อมบำรุงระบบทำความเย็น ซ่อมแอร์รถยนต์ทุกรุ่น เช่น ซ่อมแอร์ Mazda ซ่อมแอร์ Honda

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้